เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เขามีงานบวช เห็นไหม ถ้าบวชแล้วสมจริงนะ บวชเป็นพระ เป็นพระเป็นสงฆ์นี่สมมุติ จริงตามสมมุติ ถ้าทำความเป็นจริงแล้วมันจะจริง ถ้าไม่จริงแล้วความไม่จริง สมมุติ มันจริงตามสมมุติไง ถ้าบวชไม่จริงตามสมมุติ บวชแล้วมันใจไม่เป็นพระ พอใจไม่เป็นพระทำอะไรแล้วมันไม่เหมือนกับพระ
ถ้าใจเป็นพระนะมันมีศีลควบคุมอยู่ ถ้าใจเป็นพระ เห็นไหม จริงตามสมมุติ สมมุติว่าเพศสมณะแล้วเป็นพระ ไม่ใช่เพศคฤหัสถ์ เพศคฤหัสถ์เป็นเพศของหญิงและเพศของชาย แล้วเพศของสมณะมันเป็นเพศพรหมจรรย์ เพศพรหมจรรย์อยู่เพื่อความเป็นพรหมจรรย์ไง พยายามทำความเป็นพรหมจรรย์ของใจ ทำความสงบของใจ มันพรหมจรรย์ได้เฉพาะร่างกาย บวชนี่โกนหัว โกนคิ้ว ห่มผ้าเหลือง บวชเฉพาะร่างกาย แต่มันไม่ได้บวชหัวใจ หัวใจถึงคิดแส่ส่ายไปตามอำนาจของกิเลสไง
อำนาจของกิเลส เห็นไหม มันคิดเรื่องกามก็ได้ คิดเรื่องอะไรก็ได้ มันคิดไปในหัวใจ ถ้ามันจริงตามสมมุติ มันจริงเฉพาะร่างกาย แต่หัวใจยังไม่จริงไง ถ้าหัวใจไม่จริง ถ้าไม่จริงตามนั้นแล้วมันจะเริ่มสร้างรูปขึ้นมาไม่ได้ ถ้าความจริงขึ้นมา จริงจากภายนอกจริงจากภายใน จริงเข้าไปทุกอย่าง มันต้องจับสมมุติเข้าไปก่อน สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายนี้ว่าเป็นสมมุติทั้งหมด
แล้วเราชาวพุทธกันว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง คำว่า สอนให้ปล่อยวาง แล้วเราเข้าใจว่าเราปล่อยวาง เราก็ปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางนี่สมกับคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ...ไม่ใช่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวางนี่ เราปล่อยวางกันได้ชั่วครั้งชั่วคราว เราปล่อยวางกันได้ด้วยความอิ่ม ด้วยความเต็มอิ่มเบื่อหน่าย ความเบื่อหน่ายของเรา แต่มันเบื่อหน่ายแล้วมันขาดไปไหม? เดี๋ยวมันก็อยากอีก เดี๋ยวมันก็ต้องการอีก มันไม่ได้ขาดไปโดยสมุจเฉทปหาน
ถ้ามันขาดโดยสมุจเฉทปหาน มันต้องก่อรูปสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา การสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมานะ จริงตามบัญญัติ จริงตามสมมุติ เห็นไหม แล้วพยายามสร้างขึ้นไปจริงตามบัญญัติ บัญญัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัญญัติเข้ามาเรื่องของใจจับต้องได้ ธรรมดาใจนี่เราสื่อความหมายกันไม่ได้ว่าสิ่งนั้นเรียกว่าอะไร สิ่งนี้เรียกว่าอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมา เห็นไหม จริงตามบัญญัติ
สิ่งนี้เรียกว่าเวทนา เวลามันขัดข้องหมองใจนี่มันเรียกเป็นเวทนา สิ่งที่เวทนาในหัวใจมันขัดข้องใจ นั่นน่ะความจริงอันนี้มันจับต้องให้ได้ แล้วมันจับต้องได้มันก็เข้ากับเนื้อความเป็นจริงว่าอันนี้เป็นเวทนา เวทนานี้มันเกิดดับ ทุกอย่างนี้เกิดดับ แต่เวลามันเกิดดับทำไมมันมีคุณค่าเหนือเราล่ะ เวลามันเกิดดับมันมีคุณค่าเหนือเรานะ เราไม่สามารถต่อต้านสิ่งนี้ได้เลย มันพอใจให้เราทำสิ่งใดเราก็ทำสิ่งนั้น นั่นน่ะมันไม่จริงตามบัญญัติแล้ว มันจริงตามสมมุติ จริงตามความพอใจของเรา เราก็พอใจสิ่งนี้ พอใจสิ่งนี้ก็ตามสิ่งนี้ไป
ถ้าคนไม่จริง เริ่มต้นไม่จริง มันจะไม่ได้ความเป็นจริงมาในหัวใจเลย ถ้าเริ่มต้นจริง คนจริงจะได้ของจริงมา สมมุติมันเป็นความจริงอยู่ มันมีตามสมมุติ เวลาเป็นสมมุติแล้วต้องให้จริงตามสมมุติ ไม่ใช่ว่ามันยังไม่ถึงกับวิมุตติ ไม่ถึงกับว่าปล่อยวาง ถ้ามันปล่อยวาง มันจะปล่อยวางได้มันต้องเข้าไปทำการชำระหัวใจ มันปล่อยวางตามความเป็นจริง นี่มันปล่อยวางแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ปล่อยวางอย่างนั้น
ไม่ใช่ให้ปล่อยวางแบบเรา ปล่อยวางแบบสวะ ปล่อยวางแบบไม่เอาความสนใจ ปล่อยวางเพราะขี้เกียจขี้คร้าน ปล่อยวางเพราะว่าไม่ต้องการไปจับต้องมัน ไม่ต้องการไปเจอหน้า ปล่อยวางแบบคนขี้ขลาด คนขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญกับความเป็นจริงในหัวใจของเรา เจอแล้วหลบเลย หลบความเห็น หลบว่าสิ่งนี้พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง แล้วก็ปัดสวะไปให้พ้นจากตัวไปๆ ปล่อยวางตามความเห็นของตัวไปๆ มันไม่ได้ปล่อยวางตามความเข้าใจตามความเป็นจริง
ถ้าปล่อยวางตามความเป็นจริง มันจะเข้าไปจับต้องสิ่งนั้น ทำความสงบของใจขึ้นมามีความสงบมาก มีความสงบของใจมีความสุขมาก ความสุขเกิดจากการปล่อยวาง ความสุขจากการเป็นภาระแบกหามแล้วปล่อยวางภาระแบกหามนั้น มันสามารถทำให้คนหลงได้ว่าสิ่งนั้นเป็นผล เห็นไหม มันมีความสุข มันมีความจริงไปได้ว่าเราจะหลงได้ ถ้าเราไม่จริงกับความเป็นจริงของเรา ไม่จริงกับหลักสัจธรรม เราไม่ซื่อสัตย์กันตามความจริง มรรคอริยสัจจัง มรรค ๘ เกิดขึ้นหรือยัง? มรรค ๘ ยังไม่เกิดขึ้น
สัมมาสมาธิเกิดขึ้นมามันต้องมีสติสัมปชัญญะขึ้นไป แล้วไตร่ตรองกิเลสเข้าไป ตามจับต้องกิเลส จับต้องให้ได้สติปัฏฐาน ๔ ถ้าจับต้องไม่ได้ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีเป้าหมายมันก็เคว้งคว้างไปในสิ่งต่างๆ จับต้องสิ่งใดไม่ได้เลย เราจะจับต้องสิ่งใดไม่ได้แล้วเราก็ปล่อยวางอยู่อย่างนั้น นั่นน่ะกิเลสมันหลอก หลอกอย่างหยาบๆขึ้นมาก็หลอกตามสมมุติ สอนให้ปล่อยวางเราก็ปล่อยวางแล้ว เราทำแล้ว นี่มันก็เป็นความหลอกอันหนึ่ง จิตสงบเข้าไปมันก็ตามไปหลอกข้างในอีกว่าอันนี้เวิ้งว้างแล้ว อันนี้เป็นความจริงแล้ว มันก็ยังไม่ใช่ตามความเป็นจริง มันไม่เป็นปัจจัตตัง
ถ้าวิปัสสนาแล้วชำระกิเลสขาดออกไปมันเป็นปัจจัตตัง มันจะรู้เห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้มีการขาดออกไปจากหัวใจ สิ่งที่มันเกาะเกี่ยว สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นในหัวใจนั้น มันได้หลุดออกไปจากใจจริงๆ พอได้หลุดออกไปจากใจแล้วมันจะเกิดอีกไม่ได้ จากกุปปธรรม สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา แต่เราไม่เห็นตามความเป็นจริง จนเป็นอกุปปธรรม สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา เพราะไม่มีสังโยชน์ผูกพัน เพราะไม่มีความยึดมั่นถือมั่น มันเกิดดับโดยความเก้อๆ เขินๆ ของเขา มันต้องเกิดดับอย่างนี้ มันยังต้องใช้งานอยู่ไป มันต้องเกิดดับของมันไป ความเกิดดับของเขา มันก็เก้อๆ เขินๆ ของเขา มันก็เกิดดับเป็นธรรมดา แต่มันไม่ผูกมัด มันมีสิ่งที่ว่าขาดตอนกัน
แต่ถ้าเป็นกุปปธรรมมันก็เกิดดับเหมือนกัน เราก็เข้าใจตามเกิดดับ เข้าใจตามปรัชญา เข้าใจตามความเห็นของเรา แต่เราไม่สามารถรู้เห็น ไม่สามารถมีอำนาจเหนือมัน ถ้ามีอำนาจเหนือมันเราจะปล่อยวางมันได้ตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีอำนาจเหนือมันมันจะควบคุมเราไป ปล่อยวางชั่วคราวๆ เห็นไหม ความจริงมันเป็นนามธรรม
สิ่งที่เป็นนามธรรม ถ้าเราจริงจากข้างนอกเข้าไปนี่ เราจะจับต้องสิ่งใดได้ มันจะสืบต่อเข้าไปจนสิ่งที่นามธรรมนั้นเป็นรูปธรรม เห็นตามความเป็นจริงเป็นรูปธรรมขึ้นมา เห็นตามความเป็นจริงขึ้นมาว่าสิ่งนี้มันเกาะเกี่ยวกัน เวลามันแพ้ มันแพ้ถอยกรูดๆ มานี่ มันเห็นเหมือนกับกองทัพแพ้ข้าศึกมาเลย ความคิดของเราแพ้กิเลส มันจะถอยกรูดๆ ออกมา ถอยร่นออกมาตลอดกาลจนมีความเสียใจ มีความน้อยใจ
เวลาเราชนะขึ้นไปนี่ เหมือนกองทัพชนะขึ้นไป ธรรมของเราเป็นฝ่ายชนะขึ้นไป กองทัพธรรมชนะกองทัพกิเลส มันจะต่อสู้เข้าไปจนกิเลสมันหลบนะ มันไม่ตายมันหลบ พอหลบเราก็เป็นผู้ชนะองอาจกล้าหาญอยู่ในหัวใจของเรานั่นน่ะ มีความเห่อเหิมทะเยอทะยานมากจะชนะกับมัน มันจะหลบซ่อนไป มันขนาดนั้นนะ พอหลบซ่อนขึ้นไป พอเราเผลอมันก็ขึ้นมาอีก เราต้องค่อยๆ ใคร่ครวญ นี่ความจริง
ความจริงคือความไม่ประมาทภายในไง ความไม่ประมาทภายนอกเป็นความไม่ประมาทภายนอก ความไม่ประมาทภายในมันจะทำให้เราชำระกิเลสได้ สงฆ์ก็ต้องเป็นคนจริง จริงจากภายนอก จริงจากภายใน จริงจากการวิปัสสนาต้องจริง จริงคือว่าให้เห็นตามความเป็นจริง ไม่รวบรัดไม่ตัดตอนว่าสิ่งนั้นเป็นผลแล้ว ทำจนกว่ามันจะหาสิ่งที่ทำอีกไม่ได้ ต้องแยกต้องแยะจนกว่าจะเห็นสิ่งที่ว่าแยกอีกไม่ได้แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ ก็ทำอยู่อย่างนั้นจนกว่ามันจะเข้าใจ มันสมุจเฉทปหาน พอสมุจเฉทปหานมันสิ้นสุด เป็นความขาดออกไปจากใจ อันนั้นเป็นความจริงของใจ
ความจริงอย่างนี้มันจะเกิดขึ้นจากคนจริง ถ้าคนไม่จริง ทำไม่จริง มันจะไม่ได้ผลหรอก มันจะลูบๆ คลำๆ ไป ชิงสุกก่อนห่าม คาดหมายไปก่อนเลย พอประพฤติปฏิบัติธรรมก็คาดหมายว่าเราจะได้สิ่งนั้นๆ แล้วทำตามความคาดหมาย มีแต่ความเร่าร้อน คาดหมายนะ กิเลสในใจเราก็เร่าร้อนอยู่แล้ว ความหมกมุ่นของใจมีความเร่าร้อนมันเผาใจอยู่แล้ว ยังมีความจินตนาการตัณหาความทะยานอยาก อยากให้มันเป็นไป อยากต้องการให้เป็นไป ความเร่าร้อนอันนั้นมันอยากในผล
ถ้าสิ่งนี้เราวางไว้ก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้ามีเหตุพอ ถ้าเราต้มน้ำนี่เรารักษาแต่ไฟของเราให้ไฟมันมีอุณหภูมิความร้อนของมัน น้ำมันต้องเดือดโดยธรรมชาติของมันถ้าอุณหภูมิความร้อนมันพอ หน้าที่ของเราก็ต้องสร้างเหตุไง ถ้าสร้างเหตุขึ้นมาเราอยากในเหตุ จริงในเหตุในผลด้วย เหตุกับผลรวมลงแล้วกลายเป็นธรรม
เหตุ เห็นไหม มันใช้ไป มรรคสามัคคีรวมตัวกันแล้วมันสมุจเฉทปหานออกไป มรรคนี่สมุจเฉทฯ ขาดออกไปจากใจ นี่เหตุมันรวมตัว มันกลืนกินเข้าไป สัมปยุตเข้าไป วิปปยุตคลายออกมา ใจนี้รอดพ้นออกไป มันก็หมดช่วงไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มรรค ๔ ผล ๔ จริงตามความเห็น จริงตามมรรค จริงตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงในหัวใจของเรา
คนจริงเท่านั้นถึงจะได้ความเป็นจริง ถ้าคนไม่จริงเราจะแพ้ตลอดไปนะ แพ้ตั้งแต่เรื่องความจริง เรื่องสมมุติ สมมุตินี่ก็จริงตามสมมุติ เรารักษามันไป มันเป็นของของเรา เราก็รักษามันไปแต่ไม่ยึดติด ถ้ายึดติดแล้วเป็นความทุกข์ ถ้ายึดติดนะ มันจะชำรุดไปมันจะเสียหายไปเป็นเรื่องธรรมดา แต่หน้าที่ของเราคือรักษาของเราไป ของของเราก็เป็นของของเรา หน้าที่แสวงหา หน้าที่การงานของเราก็หน้าที่การงานของเรา มันจริงตามสมมุติไปตลอด นั่นน่ะมันจริงก่อน ไม่ใช่ว่าจะทิ้งเลย พอมันจริงตามสมมุติไปมันจะเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าเข้าไปแล้วมันจะเกิดการปฏิบัติขึ้นมาในตัวมันเอง
พอการปฏิบัติขึ้นมาในตัวมันเอง พอมีภาคปฏิบัติขึ้นมานี่ปฏิเวธ ความปล่อยวางตามความจริงมันจะเกิดขึ้นตรงนั้น ถ้าเกิดขึ้นตรงนั้นนั่นน่ะสมบูรณ์ในการสร้างหลักของศาสนา ในการสร้างใจของตัว ถ้าสร้างใจของตัวมันจะมาถึงชาวพุทธไง เข้าถึงธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาให้พวกเราเข้าถึง แล้วถ้าเราเข้าถึงอันนั้นนะ มันจะเข้าถึงในหัวใจของเรา เอวัง